วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

เคมีอินทรีย์เบื้องต้น

เคมีอินทรีย์ (organic chemistry) เป็นสาขาหนึ่งของการศึกษาวิชาเคมี ซึ่งมีความสำคัญยิ่งในการดำรงชีวิต เนื่องจากสิ่งต่างๆ ที่อยู่รอบตัวเราส่วนใหญ่จัดเป็นสารอินทรีย์ เช่น อาหาร เครื่องนุ่งห่ม ยารักษาโรค เครื่องสำอาง เชื้อเพลิง ผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งแหล่งที่กำเนิดสารอินทรีย์ส่วนใหญ่เกิดจากกระบวนการสังเคราะห์ด้วยแสงของพืช ดังนี้
 
           ในสมัยแรกๆ นักวิทยาศาสตร์แบ่งสารเคมีออกเป็นสารอินทรีย์และสารอนินทรีย์ สารอนินทรีย์เป็นสารประกอบของธาตุต่างๆ ส่วนสารอินทรีย์เป็นสารประกอบที่ได้จากสิ่งมีชีวิต     
        
ต่อมาในปี พ.ศ. 1828 ฟรีดริช เวอเลอร์ สามารถสังเคราะห์ยูเรียได้จากสารอนินทรีย์ ดังสมการ 
 
           หลังจากนั้นทำให้คำจำกัดความของสารอินทรีย์เปลี่ยนไป สารอินทรีย์ คือ สารประกอบที่มีธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบหลัก ยกเว้นสารประกอบคาร์บอนบางชนิด เช่น สารประกอบออกไซด์ คาร์บอเนต ไฮโดรเจนคาร์บอเนต ฯลฯ วิชาที่ศึกษาเกี่ยวกับสารอินทรีย์ เรียกว่า "เคมีอินทรีย์" 
  
   สมบัติของสารประกอบอินทรีย์และอนินทรีย์
              สารประกอบอินทรีย์มีสมบัติแตกต่างจากสารอนินทรีย์โดยสรุป  ดังตารางต่อไปนี้
 สารประกอบอินทรีย์
 สารประกอบอนินทรีย์
 1. ประกอบด้วยธาตุคาร์บอนเป็นธาตุหลัก และธาตุอื่นๆ เช่น H, O, N, S, Cl, Br เป็นต้น
 1. ประกอบด้วยธาตุต่างๆ ในตารางธาตุ
 2. ส่วนใหญ่เป็นสารประกอบโคเวเลนต์ 2. สารอนินทรีย์มีจำนวนมาก ทั้งสารประกอบไอออนิกและสารประกอบโคเวเลนต์
 3. จุดหลอมเหลวและจุดเดือดต่ำ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นสารประกอบโคเวเลนต์ ยกเว้น สารอินทรีย์เป็นประเภทพอลิเมอร์บางชนิดที่มีจุดหลอมเหลวและจุดเดือดสูง 3. ถ้าเป็นประเภทสารประกอบไอออนิกหรือโคเวเลนต์แบบโครงผลึกร่างตาข่ายจะมีจุดหลอมเหลวสูง ถ้าเป็นสารประกอบโคเวเลนต์ธรรมดา มีจุดหลอมเหลวต่ำ
 4. สารอินทรีย์ที่ติดไฟได้จะได้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์หรือเขม่าสีดำ ซึ่งเป็นผลละเอียดของธาตุคาร์บอน 4. สารอนินทรีย์ติดไฟหรือทำปฏิกิริยากับแก๊สออกซิเจนจะได้ผลิตภัณฑ์ชนิดอื่นที่ไม่ใช่เขม่าของคาร์บอน
 5. สารอินทรีย์มีทั้งละลายน้ำได้และไม่ละลายน้ำ 5. สารอนินทรีย์มีทั้งที่ละลายน้ำได้และไม่ละลายน้ำ
 6. สารอินทรีย์มีปรากฏการณ์ไอโซเมอริซึม คือ สูตรโมเลกุลสูตรหนึ่งอาจเป็นสารได้หลายชนิดที่มีโครงสร้างต่างกัน จึงมีจำนวนชนิดมากกว่าสารอนินทรีย์ 6. สารอนินทรีย์ไม่มีปรากฏการณ์ไอโซเมอริซึม สารต่างชนิดกันสูตรโมเลกุลจะต่างกัน
(ที่มา : เคมีอินทรีย์ ช่วงชั้นที่ 4  ศรีลักษณ์ ผลวัฒนะ และคณะ ,หน้า 8-9)
พันธะของคาร์บอน 
             เวเลนซ์อิเล็กตรอนทั้ง 4 ของคาร์บอนสามารถเกิดพันธะโคเวเลนซ์ (covalent bond) ได้ 4 พันธะ ซึ่งอาจจะเป็นพันธะเดี่ยว (single bond) พันธะคู่ (double bond) หรือพันธะสาม (triple bond) ก็ได้ การเกิดพันธะของคาร์บอนสามารถเกิดได้ 3 แบบ   ดังนี้                    
พันธะเดี่ยว 4 พันธะ 
  พันธะคู่ 1 พันธะ + พันธะเดี่ยว 2 พันธะ 
    พันธะสาม 1 พันธะ + พันธะเดี่ยว 1 พันธะ 
            ความยาวพันธะระหว่างคาร์บอน - คาร์บอน เรียงจากน้อยไปมาก ดังนี้   
             พลังงานพันธะ              900                    600                    300          kJ/mol 
           อะตอมอื่นๆ ที่มาร่วมใช้เวเลนซ์อิเล็กตรอนเกิดพันธะโคเวเลนซ์กับคาร์บอนในสารอินทรีย์ ธาตุที่พบมากที่สุด คือ ไฮโดรเจน (H) สำหรับธาตุอื่นๆ นอกจาก H แล้วยังมี ไนโตรเจน (N) , ฟอสฟอรัส (P), ออกซิเจน (O), กำมะถัน (S) และแฮโลเจน (F, Cl, Br, I)
           ตัวอย่างพันธะโคเวเลนต์ระหว่างคาร์บอนกับธาตุอื่นๆ ที่พบบ่อยในสารอินทรีย์ ดังนี้
           ข้อสังเกตสำหรับธาตุอื่นที่เกิดพันธะโคเวเลนต์กับ C ในสารอินทรีย์จะมีพันธะได้ ดังนี้    
           ดังนั้นเมื่อเขียนสูตรสารอินทรีย์และมีอะตอมข้างบนนี้เข้ามาเกี่ยวข้องต้องพิจารณาจำนวนพันธะให้ถูกต้อง
สูตรโครงสร้างของสารอินทรีย์
               การเขียนสูตรของสารประกอบอินทรีย์
             สูตรโมเลกุล เป็นสูตรที่บอกให้ทราบว่าในสารประกอบนั้นประกอบด้วยธาตุใดบ้างอย่างละกี่อะตอม ซึ่งไม่เป็นที่นิยมเขียนสูตรชนิดนี้ เช่น CH4 , C6H14 , C6H6O เป็นต้น
            สูตรโครงสร้าง เป็นสูตรที่บอกให้ทราบว่าในโมเลกุลของสารประกอบนั้น ประกอบด้วยธาตุใดบ้างอย่างละกี่อะตอม แต่ละอะตอมยึดเหนี่ยวกันอย่างไร มีหลายแบบ ดังนี้

                สูตรโครงสร้างแบบเส้น (Expanded form)                
                สูตรโครงสร้างแบบย่อ (Condensed form)
                สูตรโครงสร้างแบบเส้นและมุม (Bond - line form)
                    เป็นการเขียนสูตรโครงสร้างโดยใช้เส้นขีด (-) แทนอิเล็กตรอน 2 ตัว หรือ 1 คู่ในการเขียนแสดงพันธะโคเวเลนต์ เช่น
                 สูตรโครงสร้างแบบเส้น
                สูตรโครงสร้างแบบย่อ (Condensed form)
                เป็นสูตรโครงสร้างที่ไม่แสดงเส้นพันธะเดี่ยวระหว่างไฮโดรเจนกับคาร์บอน โดยจะใช้วงเล็บย่อตัวที่เหมือนกันไว้ด้วยกัน เช่น
 
                 สูตรโครงสร้างแบบเส้นและมุม (Bond-line form)
                     เป็นสูตรโครงสร้างที่ไม่แสดงธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจน แต่จะแสดงเส้นพันธะระหว่างคาร์บอนและไฮโดรเจนเท่านั้น
ไอโซเมอริซึม               
       ไอโซเมอริซึม (Isomerism) และ ไอโซเมอร์ (Isomer)
                       ไอโซเมอริซึม คือ ปรากฏการณ์ที่สารมีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่สูตรโครงสร้างต่างกัน ทำให้มีสมบัติต่างๆ เช่น จุดเดือด จุดหลอมเหลวแตกต่างกัน
                       ไอโซเมอร์ คือ สารที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน
               หลักการพิจารณาว่าสารเป็นไอโซเมอร์กันหรือไม่
                       Laughing ขั้นที่ 1 พิจารณาจำนวนธาตุว่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าเท่ากันให้นับจำนวนอะตอมของแต่ละชนิดว่าเท่ากันหรือไม่ ถ้าเท่ากันทุกธาตุแสดงว่ามีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน ให้พิจารณาขั้นที่ 2 ต่อไป                       Laughing ขั้นที่ 2 พิจารณาว่ามีโครงสร้างที่ต่างกันหรือไม่ ถ้ามีโครงสร้างต่างกันแสดงว่าเป็นไอโซเมอร์กัน ในการพิจารณาโครงสร้างว่าเหมือนกันหรือต่างกันเป็นเรื่องค่อนข้างยาก เพราะสูตรโครงสร้างที่นักเรียนเห็นไม่ใช่โครงสร้างที่แท้จริง แต่เป็นสูตรโครงสร้างที่เขียนเพื่อความสะดวก เป็นโครงสร้างเพียง 2 มิติ แต่ความเป็นจริง เป็นโครงสร้าง 3 มิติเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นสูตรโครงสร้างที่เห็นว่าต่างกันจึงอาจเหมือนกันได้ ในการพิจารณาใช้หลัก ดังนี้ "ให้ถือว่าโครงสร้างทั้งหลายเป็นเส้นลวดที่สามารถตัด พลิก หมุนได้ (เฉพาะส่วนที่เกิดพันธะเดี่ยว) แต่ห้ามตัดต่อ พลิก หรือหมุนแล้วทำให้เหมือนกันแสดงว่าเป็นโครงสร้างเดียวกัน"
              หลักการเขียนไอโซเมอร์                                               สารอินทรีย์ที่มีคาร์บอนอะตอมประมาณ 3-4 อะตอมขึ้นไปสามารถเกิดไอโซเมอร์ที่มีโครงสร้างแบบต่างๆ กัน ถ้าคาร์บอนอะตอมมากขึ้นก็จะมีจำนวน      ไอโซเมอร์เพิ่มขึ้น แต่จะมีจำนวนเท่าไรไม่มีสูตรที่จะใช้ในการคำนวณที่แน่นอนและจะทราบจำนวนไอโซเมอร์ของสารอินทรีย์ได้ต้องเขียนและพิจารณาเองโดยมีหลักการเขียน ดังนี้  
 1.  การเขียนไอโซเมอร์ต้องเริ่มจากไอโซเมอร์ที่มีคาร์บอนต่อกันเป็นสายยาวที่สุดก่อน
 2.  ลดจำนวนคาร์บอนอะตอมทีละอะตอมลงในสายยาวของคาร์บอนที่ต่อกัน โดยนำมาต่อเป็นสาขาที่ตำแหน่งต่าง ๆ
 3.  ต้องระวังพิจารณาว่ารูปร่างโครงสร้างที่เขียนซ้ำหรือไม่   การเขียนก็ให้เขียนเฉพาะคาร์บอนอะตอมก่อนแล้วจึงเติมไฮโดรเจนที่หลัง   แล้วเช็คดูว่าสูตรตรงกับที่โจทย์ให้หรือไม่
 
        ชนิดของไอโซเมอร์
          Structural Isomer คือ ปรากฏการณ์ที่สารมีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่มีสูตรโครงสร้างต่างกัน
              Chain Isomerism 
              Positional Isomerism 
              Functional Isomerism 


            (ที่มารูปภาพ Structural Isomer  จากhttp://faculty.lacitycollege.edu/boanta/LAB102/Organic%20Isomers.htm)
               StereoIsomerism   คือ  ปรากฏการณ์ที่สารมีสูตรโมเลกุลเหมือนกัน   สูตรโครงสร้างเหมือนกันแต่มีการจัดเรียงตัวของอะตอมหรือหมู่อะตอมในที่ว่าง (space)  ต่างกัน

ตัวอย่าง sterioisome แบบ chelating ligands
(ที่มา http://bouman.chem.georgetown.edu/S02/lect33/lect33.htm)
 
      Geometric Isomerism
              Optical Isomerism 
            (ที่มารูปภาพ Geometric isomer และ Optical isomer จาก http://faculty.lacitycollege.edu/boanta/LAB102/Organic%20Isomers.htm)

                               หมู่ฟังก์ชัน 
        หมู่ฟังก์ชัน (Functional group = หมู่อะตอมที่แสดงสมบัติเฉพาะ)
                        
หมู่ฟังก์ชัน คือ หมู่อะตอมหรือกลุ่มอะตอมของธาตุที่แสดงสมบัติเฉพาะของสารอินทรีย์ชนิดหนึ่งๆ เช่น CH3OH (เมทานอล) CH3CH2OH (เอทานอล) ซึ่งต้องเป็นสารอินทรีย์พวกแอลกอฮอล์ เพราะสารแต่ละชนิดต่างก็มีหมู่ -OH เป็นองค์ประกอบ แสดงว่าหมู่ -OH เป็นหมู่ฟังก์ชันของแอลกอฮอล์
                     
                             HCOOH (กรดเมทาโนอิก) และ CH3COOH (กรดเอทาโนอิก) ซึ่งต่างจากกรดอินทรีย์ เพราะสารทั้งสองต่างก็มีหมู่ -COOH เป็นองค์ประกอบ แสดงว่าหมู่ -COOH เป็นหมู่ฟังก์ชันของกรดอินทรีย์
                             อนึ่งสารอินทรีย์โดยทั่วไปประกอบด้วยองค์ประกอบ 2 ส่วน ส่วนหนึ่งเป็นอะตอมไฮโดรคาร์บอนหรือหมู่อะตอมอื่นๆ อีกส่วนหนึ่งเป็นหมู่ฟังก์ชัน ซึ่งแสดงสมบัติเฉพาะของสารอินทรีย์นั้น และเป็นส่วนที่มีความว่องไวทางเคมี ดังรูป

                    ปฏิกิริยาเคมีที่เกิดกับสารอินทรีย์มักจะเกิดตรงส่วนของหมู่ฟังก์ชัน เช่น
           ตารางหมู่ฟังก์ชันบางชนิดและสารประกอบที่มีหมู่ฟังก์ชันเป็นองค์ประกอบ
 ประเภทของสารอินทรีย์
 หมู่ฟังก์ชัน
 ชื่อของหมู่ฟังก์ชัน
 สูตรทั่วไป
ตัวอย่าง 
 แอลเคน
 -
 -



 
 แอลคีน
 
พันธะคู่
 
 แอลไคน์
 
พันธะสาม
  
 แอลกอฮอล์
 
ไฮดรอกซิล
 อีเทอร์
 
ออกซี
 แอลดีไฮด์
 
ฟอร์มิกหรือ
คาร์บอกซาลดีไฮด์



 คีโตน
 
คาร์บอนิล
 กรดอินทรีย์
 
คาร์บอกซิลิก
 เอสเทอร์
 
แอลคอกซี-
คาร์บอนิล
 เอมีน
 
อะมิโน
 เอไมด์
 
 เอไมด์
  
           ประเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
                           สารประกอบไฮโดรคาร์บอน (Hydrocarbon compounds) หมายถึง สารประกอบที่มีเฉพาะคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบเท่านั้น
                               ประเภทของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน 
 
                 อะลิฟาติกไฮโดรคาร์บอน (Aliphatic hydrocarbon) เป็นสารประกอบที่คาร์บอนในโมเลกุลต่อกันเป็นโซ่เปิด (open chain) ได้แก่ แอลเคน แอลคีน และแอลไคน์
                 อะลิไซคลิกไฮโดรคาร์บอน (Alicyclic hydrocarbon) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างเป็นวงแหวนโดยที่คาร์บอนในวงแหวนเกาะกันด้วยพันธะเดี่ยวเป็นส่วนใหญ่ แต่อาจจะมีพันธะคู่หรือพันธะสามอยู่บ้าง เช่น
                 อะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Aromatic hydrocarbon) เป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่มีโครงสร้างเป็นวงหกเหลี่ยมเป็นพันธะคู่สลับกับพันธะเดี่ยว โดยสารที่เป็นอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนจะต้องมีโครงสร้างแบบนี้เป็นวงพื้นฐาน โดยตัวที่มีขนาดเล็กที่สุดจะเรียกว่าเบนซีน (Benzene) เช่น

    ข้อสรุปเกี่ยวกับสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
                            
                  
                  เป็นสารประกอบที่มี H,C เป็นองค์ประกอบหลัก สารประกอบที่มี C1 - C4 มีสถานะเป็นแก๊ส C- C17 เป็นของเหลว C18 ขึ้นไปเป็นของแข็ง 
                  สารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบ่งออกเป็น 3 ประเภท คือ 
                           1. Aliphatic Hydrocarbon ได้แก่ พวกโซ่ตรง หรือโซ่กิ่ง เช่น
                           2. Alicyclic Hydrocarbon ได้แก่ พวกโซ่ปิด เช่น
                           3. Aromatic Hydrocarbon ได้แก่ พวกโซ่ปิดที่มีพันธะเดี่ยวสลับพันธะคู่ เช่น
                  เป็นพันธะโคเวเลนต์
                  แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลเป็นแรงลอนดอน พันธะที่เกิดจาก C และ H มีผลต่างของค่าอิเล็กโทรเนกาติวิตีน้อยมาก จึงถือว่าเป็นพันธะไม่มีขั้ว แรงยึดเหนี่ยวระหว่างโมเลกุลของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเป็นแรงลอนดอนซึ่งเป็นแรงแวนเดอร์วาลส์ประเภทหนึ่ง ดังนั้นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนไม่มีขั้วจึงไม่ละลายน้ำ
                  ไม่นำไฟฟ้า
                  จุดเดือดและจุดหลอมเหลวของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่ำ เมื่อเทียบกับสารอื่นๆ ที่มีมวลโมเลกุลใกล้เคียงกัน แต่จะเพิ่มขึ้นตามมวล หรือเพิ่มตามจำนวนอะตอมที่เพิ่มขึ้น เช่น CH3CH3 มีจุดเดือด จุดหลอมเหลวสูงกว่า CH4
                           สารประกอบไฮโดรคาร์บอนต่างชนิดที่มีคาร์บอนอะตอมเท่ากัน และคาร์บอนต่อกันเป็นโซ่สายยาวเรียงลำดับจุดเดือดจากสูง -----> ต่ำ ดังนี้
 Alkyne > Alkane > Alkene
                  ความหนาแน่น สารประกอบไฮโดรคาร์บอนมีความหนาแน่นต่ำ โดยทั่วไปความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำ 
                  การเผาไหม้ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ถ้าเผาไหม้อย่างสมบูรณ์จะได้ CO2 และ H2O แต่ถ้าเผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จะเกิด CO และ H2O
                  การดุลสมการการเผาไหม้ของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่สมบูรณ์ มีหลักดังนี้
                          1. ให้เอาเลข 4 หารจำนวน H ผลลัพธ์ที่ได้บวกจำนวน C แล้วนำผลลัพธ์ที่ได้จากการบวกไปใส่หน้าออกซิเจน จากนั้นตรวจสอบ C และ H ให้เท่ากัน
                          2. ถ้าใช้เลข 4 หารไม่ลงตัว ให้เอาเลข 2 คูณหน้าสารประกอบไฮโดรคาร์บอนก่อน
                          C3H4  +  4O2  ---------->  3CO2  +  2H2O
                          C4H8  +  6O ---------->  4CO2  +  4H2O
                          ในกรณีที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์ จะได้ผลิตภัณฑ์ เป็น CO และ H2O การดุลทำได้โดย ดุล C และ H ก่อน จากนั้นดุล O2 ถ้าได้เลขไม่ลงตัวให้เอาเลข 2 คูณตลอด เช่น
                        2C3H4  +  5O2  ---------->  6CO  +  4H2O
                        2C3H8  +  7O2  ---------->  6CO  +  8H2O
                  สารประกอบไฮโดรคาร์บอนแบ่งออกเป็น 4 ชนิด ได้แก่
                           1. Alkane (แอลเคน) มีสูตรทั่วไป คือ CnH2n+2 เป็นพันธะเดี่ยวหมด
                           2. Alkene (แอลคีน) มีสูตรทั่วไป คือ CnH2n มีพันธะคู่
                           3. Alkyne (แอลไคน์) มีสูตรทั่วไป คือ CnH2n-2 มีพันธะสาม
                           4. Aromatic  ไม่มีสูตรแน่นอนมีพันธะคู่สลับพันธะเดี่ยว และมีลักษณะเป็นวงกลม
                  การอ่านชื่อสารประกอบไฮโดรคาร์บอน
 สารประกอบ HC
ชื่อสารประกอบ HC
 การอ่านชื่อตามภาษากรีก
 CH4
 มีเทน (methane) C = 1 อ่านว่า มีท หรือ เม-ท
 C2H6
 อีเทน (ethane) C = 2 อ่านว่า อีท หรือ เอ-ท
 C3H8
 โพรเพน (propane) C = 3 อ่านว่า โพร-พ
 C4H10
 บิวเทน (butane) C = 4 อ่านว่า บิว-ท
 C5H12
 เพนเทน (pentane) C = 5 อ่านว่า เพน-ท
 C6H14
 เฮกเซน (hexane) C = 6 อ่านว่า เฮก-ซ
 C7H16
 เฮปเทน (heptane) C = 7 อ่านว่า เฮป-ท
 C8H18
 ออกเทน (octane) C = 8 อ่านว่า ออก-ท
 C9H20
 โนเนน (nonane) C = 9 อ่านว่า โน-น
 C10H22
 เดเคน (decane) C = 10 อ่านว่า เด-ค
                  หมู่แอลคิล (Alkyl) มีสูตรทั่วไป คือ CnH2n+1 สัญลักษณ์ คือ R คือ หมู่ที่ไปเกาะบนสารอื่นๆ เช่น CH3 - methyl , C2H5 - ethyl , C3H- propyl
                  สารประกอบอิ่มตัวและไม่อิ่มตัว
 อิ่มตัว
 
 ไม่อิ่มตัว
 
ไม่อิ่มตัวมาก
 
ไม่อิ่มตัวมากที่สุด
                  การเผาไหม้สารประกอบไฮโดรคาร์บอน สารประกอบพวกนี้จะมีเขม่ามากขึ้นอยู่กับ
                       1. สารประกอบนั้นมีคาร์บอนมากเกินไป
                       2. สารประกอบนั้นมี H น้อยเกินไป
                       สาเหตุที่สารประกอบที่ไม่อิ่มตัวมีเขม่ามาก เนื่องมาจาก ในการแยกสารประกอบเหล่านี้ ต้องใช้พลังงานในปริมาณมาก เพื่อสลายพันธะคู่หรือพันธะสาม พลังงานที่จะสลายพันธะเหล่านี้มีไม่เพียงพอ จึงทำให้การสลายตัวของพันธะไม่สมบูรณ์มีคาร์บอนเหลืออยู่จาการเผาไหม้ จึงเกิดเป็นเขม่าขึ้นมา
                  เรียงลำดับอัตราการเกิดปฏิกิริยาของสารประกอบไฮโดรคาร์บอน ได้ดังนี้
 Alkyne > Alkene > Alkane > Aromatic
                  การเขียนสูตรโมเลกุล สูตรโครงสร้างแบบย่อ และสูตรโครงสร้างแบบเส้น
 สูตรโมเลกุล
 สูตรโครงสร้างแบบย่อ
 สูตรโครงสร้างแบบเส้น
 C3H8
 
 
                  Isomer คือสารประกอบที่มีสูตรโมเลกุลเหมือนกันแต่สูตรโครงสร้างต่างกัน เช่น C5H12 มี 3 isomer ดังนี้
       1.   
 
 2.   
 
 3.   
 
                                 
  
                









1 ความคิดเห็น:

  1. Casino: 50 Free Spins No Deposit - Oormans
    Casino is a free slots no deposit casino. 썬 시티 The free 강원랜드 쪽박걸 spins bonus 서산 휴게텔 offered at 뱃365 this casino are given to new players who already 사다리사이트 own a casino account. If you

    ตอบลบ